iPhone 13 vs iPhone 16: ต่างกันอย่างไร รู้ไว้ก่อนตัดสินใจซื้อในปี 2025
เลือกหัวข้อที่ต้องการอ่าน
-
การออกแบบและหน้าจอ ความแตกต่างที่มองเห็นได้ระหว่าง iPhone 13 และ iPhone 16
-
กล้องและการถ่ายภาพ จาก 12MP ของ iPhone 13 สู่ระบบกล้อง 48MP ใน iPhone 16
-
ฟีเจอร์ล้ำสมัย Apple Intelligence ใน iPhone 16 vs ฟีเจอร์ที่ยังใช้ได้ใน iPhone 13
-
สรุป iPhone 13 หรือ iPhone 16 เหมาะกับใคร? เลือกรุ่นไหนคุ้มกว่า
-
ช่องทางการติดต่อผ่อน iPhone 13 หรือ iPhone 16 กับสบายเป๋า ผ่อนง่าย สบายกระเป๋า

iPhone 13 vs iPhone 16 ต่างกันอย่างไร เปรียบเทียบความคุ้มค่าก่อนตัดสินใจซื้อในปี 2025
สำหรับยุคสมัยที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การอัปเกรดสมาร์ทโฟนกลายเป็นเรื่องที่หลายๆ คนให้ความสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้งาน iPhone ที่ในปี 2025 ควรเปลี่ยนเป็นรุ่นไหนถึงจะคุ้ม?
โดย iPhone 13 กับ iPhone 16 เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมจากสาวกแอปเปิ้ลเป็นอย่างมาก จึงทำให้การเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 13 กับ iPhone 16 ไม่ใช่แค่เรื่องของ "ใหม่กว่าเก่ากว่า" เท่านั้น แต่ยังต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น ฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ความสามารถของกล้องที่พัฒนามากขึ้น รวมถึงดีไซน์ สีสัน และคุณภาพด้านต่างๆ ที่มีการพัฒนาขึ้น และเป็นสิ่งที่อาจเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งานในแต่ละวันได้อย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น ในบทความนี้ทาง “สบายเป๋า” จะพาทุกคนไปเจาะลึกถึงความแตกต่างระหว่าง iPhone 13 และ iPhone 16 ในทุกแง่มุม ทั้งเรื่องของการออกแบบ หน้าจอ กล้อง ชิปประมวลผล แบตเตอรี่ และราคา พร้อมประเมินความคุ้มค่าของการอัปเกรดในปี 2025 ว่าควรลงทุนกับรุ่นใหม่ หรือยังสามารถใช้งาน iPhone 13 ได้ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานที่กำลังลังเลสามารถตัดสินใจเลือกใช้งานได้ง่ายขึ้น และมีความคุ้มค่าที่สุดในทุกบาททุกสตางค์
1. การออกแบบและหน้าจอ ความแตกต่างที่มองเห็นได้ระหว่าง iPhone 13 และ iPhone 16
ถึงแม้ว่า iPhone 13 และ iPhone 16 ทั้งสองรุ่นจะมีขนาดหน้าจอที่เท่ากันที่ 6.1 นิ้ว แต่การออกแบบในแต่ละรุ่นนั้นมีการปรับปรุง และพัฒนาในหลายด้าน เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับผู้ใช้ โดยเฉพาะการใช้งานหน้าจอ และดีไซน์โดยรวม
โดย iPhone 13 นั้นมาพร้อมกับดีไซน์ที่มีขอบเหลี่ยมเรียบง่าย และรอยบากด้านบนของหน้าจอ ที่เป็นที่เก็บกล้องหน้า และเซ็นเซอร์ต่างๆ และมีขนาดค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ในขณะที่ iPhone 16 ได้มีการพัฒนาโดยลดขนาดรอยบากให้เล็กลง และเปลี่ยนมาใช้ฟีเจอร์ใหม่อย่าง Dynamic Island ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างรอยบาก และพื้นที่แสดงผลที่สามารถโต้ตอบได้ เพื่อแสดงข้อมูลต่างๆ เช่น การแจ้งเตือน หรือการแสดงผลสถานะต่างๆ เป็นต้น
ส่วนด้านวัสดุ และความทนทาน iPhone 13 ใช้กระจก Ceramic Shield ซึ่งมีความทนทานสูงมาก แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากรอยขีดข่วน ในขณะที่ iPhone 16 นั้นมีการใช้ ceramic shield รุ่นอัปเกรด และเทคโนโลยีการเคลือบหน้าจอ เพื่อให้มีความแข็งแรง และทนทานมากยิ่งขึ้น โดยยังคงให้ความรู้สึกพรีเมียมในทุกมุมมอง และส่งผลให้การออกแบบของ iPhone 16 เป็นการพัฒนาในหลายด้านทั้งในแง่ของฟังก์ชัน และความสะดวกในการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น
1.1 หน้าจอ 6.1 นิ้วเท่ากัน ต่างกันตรงรอยบาก และ Dynamic Island
โดยในด้านของหน้าจอทั้ง iPhone 13 และ iPhone 16 มาพร้อมกับขนาด 6.1 นิ้วที่เหมือนกัน แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การออกแบบบริเวณรอยบาก และเปลี่ยนมาใช้ Dynamic Island
สำหรับ iPhone 13 รอยบากที่ด้านบนของหน้าจอมีขนาดใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับ iPhone 16 โดยที่ใช้พื้นที่ของรอยบากเกือบทั้งหมดสำหรับการติดตั้งกล้องหน้า และเซ็นเซอร์ต่างๆ ซึ่งอาจทำให้การใช้งานบางแอปพลิเคชันมีพื้นที่จำกัดในบางกรณี
สำหรับ iPhone 16 ได้เปลี่ยนแปลงการออกแบบรอยบากให้เล็กลง และมีฟีเจอร์ Dynamic Island ซึ่งเป็นการรวมพื้นที่แสดงผล และการแจ้งเตือนต่างๆ ให้แสดงผลในบริเวณรอยบาก ทำให้การแสดงข้อมูลสะดวกมากขึ้น เช่น การแจ้งเตือนข้อความ หรือการควบคุมเพลง โดยไม่ต้องออกจากแอปพลิเคชันที่ใช้งานอยู่ และฟีเจอร์นี้ไม่เพียงช่วยให้ดีไซน์ดูทันสมัยขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้อีกด้วย
ดังนั้น การมี Dynamic Island จึงทำให้ iPhone 16 ดูมีความล้ำหน้ากว่า iPhone 13 ทั้งในด้านการใช้งานที่เน้นความสะดวกสบาย และประสบการณ์ของผู้ใช้ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
1.2 วัสดุ และความทนทาน
เมื่อเปรียบเทียบวัสดุที่ใช้ในการผลิต iPhone 13 และ iPhone 16 ทั้งสองรุ่นยังคงใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูง โดย iPhone 13 ใช้กระจก Ceramic Shield ที่ถูกเคลือบด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้กระจกมีความทนทานมากขึ้น ซึ่งสามารถป้องกันการแตกหักได้ดีขึ้น แต่ว่าก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยขีดข่วนจากการใช้งาน
และในทางกลับกัน iPhone 16 มีการใช้วัสดุที่มีความทนทานมากขึ้น โดยเพิ่มคุณสมบัติที่ช่วยให้การใช้งานในสภาพแวดล้อมต่างๆ เป็นไปได้ดียิ่งขึ้น เช่น เทคโนโลยีการเคลือบกระจกที่ทำให้หน้าจอทนทานต่อรอยขีดข่วนได้ดี และมีการทดสอบการตกที่ดีกว่า รวมถึงขอบของตัวเครื่องใน iPhone 16 มีการใช้วัสดุที่มีความแข็งแรงมากขึ้น เช่น โลหะ หรือวัสดุพิเศษที่ทำให้เครื่องทนทาน และป้องกันการเสียหายจากการใช้งานได้ดีขึ้น
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าความทนทานของ iPhone 16 เป็นการพัฒนาจาก iPhone 13 เพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานที่ยาวนานยิ่งขึ้น และลดความเสี่ยงจากการเกิดความเสียหายได้ดีขึ้น
1.3 สีสันตัวเครื่อง
สำหรับ iPhone 13 และ iPhone 16 มีสีสันให้เลือกอย่างหลากหลาย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกตามสไตล์และความชอบของตัวเองได้ โดยในแต่ละรุ่นนั้นก็จะมีโทนสีสันต่างๆ ดังนี้
-
iPhone 13 มีสีสันให้เลือกมากถึง 6 สี ได้แก่ เช่น สีแดง (Product RED), สีสตาร์ไลท์, สีมิดไนท์, สีน้ำเงิน, สีชมพู และสีเขียว
-
iPhone 16 มีสีสันให้เลือกมากถึง 5 สี ได้แก่ สีดำ, สีขาว, สีชมพู, สีเขียวอมฟ้า และสีน้ำเงินอัลตรามารีน
โดยทั้งสองรุ่นนี้มีสีสันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการ และสไตล์การใช้งานที่หลากหลาย ที่มีทั้งความสดใส และมีความเรียบง่าย แต่ยังคงความพรีเมียม เรียบหรู และดูดีในทุกโอกาส

2. ประสิทธิภาพ และแบตเตอรี่ ชิป A15 Bionic vs A18 Bionic
การใช้งานชิปเซ็ต Bionic A Series ถือว่าเป็นจุดเด่นของ iPhone 13 และ iPhone 16 ที่ช่วยให้ทั้งสองรุ่นสามารถทำงานได้อย่างราบรื่น และเร็วกว่าเดิม แต่ว่าแต่ละรุ่นนั้นจะมาพร้อมกับชิปที่แตกต่างกัน โดย iPhone 13 ใช้ชิป A15 Bionic และ iPhone 16 ใช้ชิป A18 Bionic
-
A15 Bionic เป็นชิปที่ใช้ใน iPhone 13 ซึ่งถูกออกแบบให้มี 6 คอร์ (2 คอร์ประสิทธิภาพสูง และ 4 คอร์ประหยัดพลังงาน) และ GPU ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า และสามารถประมวลผลงานที่หนักได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในแอปพลิเคชันที่ต้องใช้กราฟิกสูง เช่น เกม 3D หรือการตัดต่อวิดีโอ รวมถึงยังมี Neural Engine ที่มีความเร็วเพิ่มขึ้น ที่ช่วยในการประมวลผลข้อมูลเกี่ยวกับ AI และ Machine Learning ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
A18 Bionic เป็นชิปที่ใช้ใน iPhone 16 ที่มีการพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง และมีคอร์ประสิทธิภาพสูงกว่า A15 รวมถึงมีการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการใช้พลังงานมากขึ้น และชิปนี้ใช้สถาปัตยกรรม 3 นาโนเมตร ทำให้มีการบริหารจัดการพลังงานที่ดีขึ้น ทำให้มีประสิทธิภาพที่เร็วขึ้น และทำให้การเล่นเกม หรือใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ลื่นไหล โดยเฉพาะในด้านของการเรนเดอร์กราฟิก หรือการประมวลผล AI ที่ทำงานได้รวดเร็ว และสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
2.1 ระยะเวลาในการเล่นวิดีโอนานสูงสุดของ iPhone 13 vs iPhone 16
สำหรับ iPhone 13 และ iPhone 16 ต่างก็มีความสามารถในการเล่นวิดีโอที่มีประสิทธิภาพสูง แต่เมื่อพูดถึงระยะเวลาในการใช้งานแบตเตอรี่ในการดูวิดีโอ ก็จะทำให้ในแต่ละรุ่นนั้นมีความแตกต่างกัน โดยใน iPhone 13 มีการใช้งานแบตเตอรี่ที่สามารถดูวิดีโอได้นานสูงสุดประมาณ 19 ชั่วโมง ตามที่ Apple ระบุ ซึ่งค่อนข้างนานสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่ว่า iPhone 16 ที่มาพร้อมกับการพัฒนาในด้านการจัดการพลังงาน และชิป A18 Bionic ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น ทำให้มีระยะเวลาในการดูวิดีโอนานขึ้นอีก โดยสามารถเล่นวิดีโอได้นานถึง 20 ชั่วโมง
ดังนั้น ระยะเวลาในการเล่นวิดีโอที่แตกต่างกันนั้นเกิดขึ้นจากการใช้ชิป A18 Bionic ที่ช่วยให้การบริหารจัดการพลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงในส่วนของหน้าจอที่มีการปรับแสง และความละเอียดให้เหมาะสมกับการใช้งานที่ยาวนานขึ้น แต่ว่า iPhone 13 ที่มี A15 Bionic ก็ยังคงให้ประสิทธิภาพที่ดี แต่อาจจะทำได้น้อยกว่า iPhone 16 ในการใช้งานแบตเตอรี่ระยะยาว

3. กล้องและการถ่ายภาพ จาก 12MP ของ iPhone 13 สู่ระบบกล้อง 48MP ใน iPhone 16
สำหรับกล้องของ iPhone 13 และ iPhone 16 นั้นเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ การอัปเกรดจากกล้อง 12MP ใน iPhone 13 เป็น 48MP ใน iPhone 16 ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพการถ่ายภาพโดยตรง และในการการอัปเกรดด้านความละเอียดนี้ทำให้ iPhone 16 สามารถเก็บรายละเอียดที่ชัดเจน และมีความคมชัดมากขึ้นในทุกการถ่ายภาพ
โดย iPhone 13 นั้นจะมีกล้องหลังคู่ประกอบด้วยกล้องหลัก 12MP และ Ultra Wide ซึ่งให้ภาพที่คมชัดในหลากหลายสถานการณ์ และการถ่ายภาพในที่แสงน้อยของ iPhone 13 ก็ยังทำได้ดีในระดับที่น่าประทับใจโดยใช้ Night Mode ที่ช่วยให้การถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยมีความคมชัด และสีสันที่สมจริง แต่ว่า iPhone 16 นั้นจะมีกล้องหลัก 48MP ที่สามารถถ่ายภาพได้ในความละเอียดสูง พร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น Photonic Engine ซึ่งช่วยให้การถ่ายภาพในทุกสภาวะแสงมีความคมชัด และสีสันที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น นอกจากนี้ iPhone 16 ยังมีเซ็นเซอร์ที่เหมาะสมในการถ่ายภาพในแต่ละสถานการณ์ได้ดีกว่า iPhone 13 ด้วย
3.1 เปรียบเทียบฟีเจอร์การถ่ายภาพ iPhone 13 vs iPhone 16
สำหรับ iPhone 13 ที่ใช้กล้อง 12MP นั้นก็ยังมีฟีเจอร์ที่โดดเด่น เช่น Night Mode, Deep Fusion, และ Smart HDR 4 ที่ช่วยให้การถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย หรือการจับภาพที่มีคอนทราสต์สูงทำได้ดี โดย Night Mode จะช่วยให้ถ่ายภาพในที่มืดได้ดีขึ้น เช่น ถ่ายภาพกลางคืนที่มีแสงน้อย และมี Deep Fusion ช่วยประมวลผลการถ่ายภาพให้มีรายละเอียดชัดเจนยิ่งขึ้นในทุกสภาพแสง
สำหรับ iPhone 16 มีกล้องที่สามารถถ่ายในความละเอียดสูงถึง 48MP ซึ่งจะให้ภาพที่คมชัด และมีรายละเอียดที่ดีขึ้นอย่างมาก มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ คือ Photonic Engine ที่จะช่วยปรับแสง และสีของภาพให้เหมาะสมที่สุดในทุกสถานการณ์ แม้ในที่แสงน้อย นอกจากนี้ iPhone 16 สามารถปรับแต่งภาพได้ในระดับมืออาชีพ อีกทั้งการซูมใน iPhone 16 สามารถทำได้คมชัด และไม่สูญเสียรายละเอียดมากเท่า iPhone 13 แถมยังมีการเพิ่มการถ่ายภาพแบบมาโครที่ทำให้การถ่ายภาพระยะใกล้สามารถเก็บรายละเอียดได้ดีมากขึ้น
3.2 เปรียบเทียบฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอ iPhone 13 vs iPhone 16
สำหรับการถ่ายวิดีโอของ iPhone 13 และ iPhone 16 ก็มีการพัฒนาที่เห็นได้ชัด โดย iPhone 13 มีฟีเจอร์ 4K Dolby Vision HDR ซึ่งทำให้สามารถถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงในรูปแบบ HDR ได้ และมีระบบ Cinematic Mode ที่ช่วยให้ถ่ายวิดีโอได้เหมือนภาพยนตร์ โดยสามารถปรับความเบลอของฉากหลัง (Bokeh Effect) ได้อย่างเรียลไทม์ และ iPhone 16 ได้ยกระดับการถ่ายวิดีโอไปอีกขั้น โดยสามารถถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงถึง 4K 60fps ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอในระดับมืออาชีพทำได้ง่ายขึ้น และฟีเจอร์ Cinematic Mode ใน iPhone 16 ได้รับการอัปเกรดให้สามารถปรับจุดโฟกัสได้อย่างละเอียดมากขึ้น ทำให้การถ่ายวิดีโอในสภาพแสงน้อย หรือในสถานการณ์ที่มีการเคลื่อนไหวสูงก็สามารถทำได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับการกันสั่นใน Action Mode ที่ทำให้การถ่ายวิดีโอในระหว่างการเคลื่อนไหวราบรื่นขึ้น และไม่เกิดการสั่นไหวมากเกินไป
ดังนั้น โดยรวมแล้ว iPhone 16 มีฟีเจอร์การถ่ายวิดีโอที่มีคุณภาพสูงขึ้น และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุณภาพวิดีโอระดับมืออาชีพ และ iPhone 13 ก็ถือว่ายังคงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการถ่ายวิดีโอที่มีคุณภาพ และฟีเจอร์การถ่ายที่ใช้งานง่าย

4. ฟีเจอร์ล้ำสมัย Apple Intelligence ใน iPhone 16 vs ฟีเจอร์ที่ยังใช้ได้ใน iPhone 13
สำหรับ iPhone 16 นั้น Apple ได้พัฒนา Apple Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้การใช้งานเครื่องสมาร์ทโฟนมีความล้ำสมัย และทันสมัยยิ่งขึ้น โดย iPhone 16 ใช้ชิป A18 Bionic ที่มีการประมวลผล AI ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก ซึ่งมีผลต่อฟีเจอร์หลายๆ อย่าง เช่น Live Text ที่สามารถแปลงข้อความจากภาพถ่ายให้สามารถคัดลอก และนำไปใช้ได้, Siri ที่ฉลาดขึ้น และสามารถทำงานได้หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือการเขียนใหม่ (Writing Tools), เครื่องมือการสร้างภาพ (Image Playground), ฟังก์ชันการวาดภาพ (Image Wand) หรือเครื่องมือสร้างสติกเกอร์ Genmoji รวมถึง Personalized Suggestions ที่ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับคำแนะนำต่างๆ อย่างชาญฉลาดมากขึ้นตามพฤติกรรมการใช้งาน
สำหรับ iPhone 13 ถึงแม้จะมี AI ที่ดีอยู่แล้วด้วยการใช้ชิป A15 Bionic และยังสามารถใช้งานได้ดี แต่ว่าก็จะมีฟีเจอร์ที่ไม่ได้ทันสมัยเท่า iPhone 16 เช่น Cinematic Mode ที่สามารถถ่ายได้แต่ไม่ได้มีความสามารถในการปรับจุดโฟกัสอย่างละเอียดเหมือน iPhone 16 นอกจากนี้ยังมี Siri ที่ยังสามารถทำงานได้ดี แต่จะมีความจำกัดในด้านการเข้าใจ และการตอบสนองในบางกรณี
ดังนั้น iPhone 16 จึงมีความโดดเด่นในด้าน Apple Intelligence ที่พัฒนาขึ้นมาก โดยเฉพาะในการประมวลผล และแนะนำสิ่งต่างๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีขึ้น ขณะที่ iPhone 13 ยังคงให้ประสบการณ์การใช้งานที่มีประสิทธิภาพ แต่ไม่ทันสมัยเท่า iPhone 16 ในด้านนี้เท่านั้น
5. ราคา และความคุ้มค่า ราคา iPhone 13 vs iPhone 16 ต่างเท่าไร?
สำหรับการเปรียบเทียบราคา และความคุ้มค่าของ iPhone 13 และ iPhone 16 เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผู้ใช้งานจะต้องพิจารณา เพราะว่าทั้งสองรุ่นนั้นในปัจจุบันมีราคาที่แตกต่างกันพอสมควร แต่ยังคงมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละบุคคลได้ดี ซึ่งในช่วงเปิดตัวนั้นราคาของทั้ง 2 รุ่นจะมีราคาเท่ากัน โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท ซึ่งสามารถแบ่งได้ตามความจุ ดังนี้
-
ความจุ 128 GB มีราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท
-
ความจุ 256 GB มีราคาเริ่มต้นที่ 33,900 บาท
-
ความจุ 512 GB มีราคาเริ่มต้นที่ 41,900 บาท
โดย iPhone 13 และ iPhone 16 ในปัจจุบันนั้นก็จะมีราคาที่แตกต่างกัน รวมถึงมีเทคโนโลยี และฟีเจอร์ต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย ซึ่งเป็นปกติของรุ่นเก่ากว่า และรุ่นใหม่กว่า แต่ว่าทั้ง 2 รุ่นนั้นก็ยังเป็นรุ่นสมาร์ทโฟนจาก Apple ที่สามารถใช้งานได้ในระยะยาว ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ดังนั้น ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้ได้ตามงบประมาณ หรือความต้องการในการใช้งานได้เลย
5.1 ราคา iPhone 13 ในตลาด ณ ปัจจุบัน
สำหรับราคาในปัจจุบันของ iPhone 13 มีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
-
ความจุ 128 GB มีราคาอยู่ที่ประมาณ 15,900 บาท
-
ความจุ 256 GB มีราคาอยู่ที่ประมาณ 21,900 บาท
โดยราคาของ iPhone 13 ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าในขณะที่ยังคงสามารถใช้งานได้ดีในระยะยาว และเป็นตัวเลือกที่สามารถตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนจาก Apple แต่ไม่ต้องการใช้เงินสูงมากในการซื้อ iPhone รุ่นใหม่
5.2 ราคา iPhone 16 ในตลาด ณ ปัจจุบัน
สำหรับราคาในปัจจุบันของ iPhone 16 มีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
-
ความจุ 128 GB มีราคาอยู่ที่ประมาณ 26,900 บาท
-
ความจุ 256 GB มีราคาอยู่ที่ประมาณ 31,400 บาท
-
ความจุ 512 GB มีราคาอยู่ที่ประมาณ 39,400 บาท
โดยราคาของ iPhone 16 นั้นก็สะท้อนถึงการอัปเกรดด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ และฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่มีความสามารถในการประมวลผลที่สูง มีความทันสมัย ตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายด้าน

6. สรุป iPhone 13 หรือ iPhone 16 เหมาะกับใคร? เลือกรุ่นไหนคุ้มกว่า
สำหรับการเลือกซื้อ iPhone ว่าควรเลือกรุ่นไหนดีระหว่าง iPhone 13 และ iPhone 16 นั้นขึ้นอยู่กับความต้องการ และลักษณะการใช้งานของแต่ละบุคคล เพราะว่าทั้งสองรุ่นมีจุดเด่น คุณสมบัติ และราคาที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน จึงทำให้เหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ที่มีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน
โดย iPhone 13 เหมาะกับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพดีในราคาที่คุ้มค่า โดยไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีล่าสุด ซึ่งในรุ่นนี้จะมี ชิป A15 Bionic, กล้องคู่ 12MP, และ หน้าจอ Super Retina XDR ที่ยังคงสามารถใช้งานได้ดีในทุกการใช้งานทั่วไป เช่น การถ่ายภาพ, เล่นโซเชียลมีเดีย, ดูหนัง หรือเล่นเกมทั่วไปในระดับกลาง และยังมีราคาที่คุ้มค่า ที่สามารถเข้าถึงสมาร์ทโฟนพรีเมียมแบบที่ไม่ต้องการจ่ายราคาแพงเกินไป
โดย iPhone 16 เหมาะกับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่ทันสมัย และมีฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่รองรับการใช้งานในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชิป A18 Bionic, กล้อง 48MP, Dynamic Island, และ Apple Intelligence ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการใช้สมาร์ทโฟน เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น การตัดต่อวิดีโอ, การเล่นเกมกราฟิกหนัก, หรือการใช้ฟีเจอร์ AI ที่ล้ำสมัย ที่กับผู้ที่ต้องการใช้งานที่สมบูรณ์แบบ และฟีเจอร์ที่ทันสมัย ที่อาจจะมีราคาสูงกว่า iPhone 13 แต่ว่าก็คุ้มค่าที่จะได้รับเทคโนโลยีใหม่ๆ และประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหนือกว่า
7. ช่องทางการติดต่อผ่อน iPhone 13 หรือ iPhone 16 กับสบายเป๋า ผ่อนง่าย สบายกระเป๋า
สำหรับใครที่กำลังสนใจ หรืออยากจะผ่อน iPhone 13 หรือ iPhone 16 หรือ iPhone รุ่นอื่นๆ กับ “สบายเป๋า” ก็สามารถแวะเข้ามาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือเริ่มดำเนินการขั้นตอนการผ่อนกับสบายเป๋าได้แบบง่ายๆ ผ่านช่องทางต่างๆ ดังต่อไปนี้
-
Line Official : @sabaipao
-
Facebook : สบายเป๋า ผ่อนไอโฟน ผ่อนมือถือแอนดรอยด์ ผ่อนง่าย สบายกระเป๋า
-
Instagram : Sabaipao.official
-
Website : www.sabaipao.com
โดยในแต่ละช่องทางการติดต่อนั้นจะมีทีมงานมืออาชีพคอยให้บริการแนะนำ และให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าหากผู้ที่สนใจอยากจะผ่อน iPhone 13 หรือ iPhone 16 หรือ iPhone รุ่นอื่นๆ แบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิต ใช้บัตรประชาชนแค่ใบเดียว ก็สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมถึงขั้นตอนการผ่อน เอกสารที่ต้องใช้ เงื่อนไข หรือข้อสงสัยต่างๆ กับทางทีมงานได้เลย เพื่อให้ผู้ผ่อนสามารถผ่อน iPhone 13 หรือ iPhone 16 หรือ iPhone รุ่นอื่นๆ หรือสินค้าไอทีอื่นๆ กับ “สบายเป๋า” ได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว ทันใจ และสบายใจมากที่สุด
8. อ่านบทความเกี่ยวกับ iPhone เพิ่มเติม คลิก ที่นี่